รุ้งอึ้ง ไม่นึก อ.อานนท์จะโคตรมั่วได้ขนาดนี้ถามตรงๆ กับจอมขวัญ
รุ้งอึ้ง ไม่นึก อ.อานนท์จะโคตรมั่วได้ขนาดนี้
จากรายการถามตรงๆ กับจอมขวัญ ที่ ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ มาดีเบตกับ รุ้ง ปนัสยา แห่งคณะราษฎร เรื่องทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
ดูเผินๆ อ.อานนท์ อาจดูข้อมูลแน่น นำเสนอเก่ง และรุ้งพูดน้อย เถียงไม่ออก
แต่ความเป็นจริงคือ คนดูกำลังถูกหลอกจากการอ้างข้อมูลแบบมั่วซั่ว เพ้อเจ้อ ของ อ.อานนท์
และบางครั้ง ข้อมูลที่อ้างถึงขนาดกลับมารัดคอตัวคนพูดเองด้วยซ้ำ
มากัน มาดู 10 ความแถของ อ.อานนท์
1. อ.อานนท์บอกว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เปรียบเหมือนกองทุนของพระมหากษัตริย์
ที่มีคณะกรรมการดูแล บริหาร
โดยที่มีเจ้าของตัวจริงคือ พระมหากษัตริย์เอง
ผิด ! เพราะเมื่อคราวที่นิตยสารฟอร์บ จัดอันดับให้พระมหากษัตริย์ไทยรวยที่สุดในโลก
โดยรวมเอาทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาคำนวณด้วยนั้น
ตัวสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เอง ได้ออกมายืนยันว่า
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่สมบัติของกษัตริย์
แต่เป็นสมบัติของรัฐ ของแผ่นดิน
(ref : https://www.isranews.org/…/2482-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99… )
พูดชัดๆ อีกที
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คือทรัพย์สินของแผ่นดิน !
ดังนั้น การที่ อ.อานนท์ กล่าวอ้างว่าทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นของกษัตริย์ ตลอดรายการ
จึงเป็นการให้ข้อมูลที่ผิด
ซึ่งแย่กว่าหมอตุลย์ที่มาดีเบตเมื่อวานเสียอีก
เพราะหมอตุลย์ยังยอมรับว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คือทรัพย์สินของแผ่นดิน
ก่อนที่จะถูกรวมเป็นของ ร.10 ในปัจจุบัน
ในทางกลับกัน
การที่รุ้งยืนยันตลอดรายการว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คือทรัพย์สินของแผ่นดิน จึงถูกต้อง
และเหตุที่รุ้งพูดไม่ออก อาจเป็นเพราะไม่รู้จะเอายังไงกับความแถของ อ.อานนท์
ที่เมื่อติดกระดุมเม็ดแรกผิดแล้ว ก็ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น
อุปมาเหมือนรุ้งบอกว่า หมามี 4 ขา
แต่ อ.อานนท์ก็พยายามพูดให้หมามี 2 ขาให้ได้
การพูดกับคนแบบนี้ ย่อมน่าเหนื่อยใจเป็นธรรมดา
2. อ.อานนท์บอกว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีความโปร่งใส
เพราะทำรายงานออกมาให้ประชาชนดูได้ทุกปี
ตรงนี้เองที่เป็นตรรกะมั่วซั่วที่กลับมาพันคอตัวคนพูดเอง
เพราะถ้าทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นสมบัติส่วนตัวของกษัตริย์จริง
แล้วทำไมต้องทำรายงานให้ประชาชนดูด้วย ?
ก็ของส่วนตัวไม่ใช่หรือ ?
กลับกัน ก็เพราะทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คือทรัพย์สินของแผ่นดิน ยังไงเล่า
ถึงต้องทำรายงานให้ประชาชนรู้ถึงการบริหารทรัพย์สินของแผ่นดิน
ไม่เชื่อไปดูได้ เราจะเห็นรายงานของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จนกระทั่งถึงปี 2559
แต่จะไม่มีรายงานตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา หลังจากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถูกเปลี่ยนเป็นของ ร.10 แล้ว
3. อ.อานนท์บอกว่า สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีที่ดิน 40,000 ไร่ ไม่ถือว่ามาก
แต่ความเป็นจริงคือ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถือครองที่ดินมากเป็นอันดับ 4 ของประเทศ
เป็นรองแค่ ตระกูลสิริวัฒนภักดี ตระกูลเจียรวนนท์ และบมจ.สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม เท่านั้น
(ref : https://www.dotproperty.co.th/…/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89… )
และที่สำคัญ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีที่ดินใจกลางกรุงเทพมหานคร เป็นจำนวนมาก
เรียกได้ว่า เป็นทำเลทองหลายต่อหลายแปลง
ดังนั้น ขนาดที่ดินอาจจะไม่มากเป็นอันดับหนึ่ง
แต่มูลค่านั้นมหาศาลแน่นอน
(ref : https://www.prachachat.net/property/news-311208 )
4. อ.อานนท์อ้างว่า ร.10 รวมทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาเป็นของพระองค์เอง เพราะต้องการเสียภาษี
นี่เป็นการใช้ตรรกะแบบมั่วซั่วอีกครั้ง
เป็นการเอาผลพลอยได้ มาอธิบายเหตุ
เหมือนบอกว่าเราขายบ้าน เพราะอยากจ่ายภาษีซื้อขายให้รัฐ
ซึ่งฟังดูก็รู้ว่า เป็นการให้เหตุผลแบบกลับหัวกลับหาง
รู้ยังว่า ทำไม รุ้งถึงทำหน้าเอือมและพูดไม่ออกอยู่บ่อยๆ
5. อ.อานนท์บอกว่า หุ้น SCB เป็นหุ้นที่ดี ไม่มีการผูกขาด และรุ้งเข้าใจผิดเอง
แต่ความจริงก็คือ รุ้งไม่ได้ใช้คำว่า "ผูกขาด" กับหุ้น SCB เลย !
ประเด็นหุ้น SCB ของรุ้งคือ
มันแสดงถึงความ "เหลื่อมล้ำ" และตั้งคำถามว่า พระมหากษัตริย์ "มีเงินเยอะเกินไป" หรือเปล่า
แต่เป็น อ.อานนท์เองที่เมาหมัด
ที่โต้ว่า ทำไมมาพูดเรื่องทุนของ SCB ทำไมไม่ไปพูดเรื่องทุนผูกขาด
แล้วก็ลากยาวเรื่องผูกขาดไปไกล
เสร็จแล้วก็วนกลับมาสรุปว่า SCB ไม่ใช่ธุรกิจผูกขาด !?!
อย่าว่าแต่รุ้งเลย เป็นใคร ใครก็งงว่าแลนดิ้งแบบนี้ได้ไง
6. ในระหว่างการออกทะเลเรื่อง SCB ไม่ผูกขาด
อ.อานนท์พูดว่า ประเทศไทยไม่มีทางเกิดการผูกขาดทางการค้า
เพราะมีกฎหมายป้องกันการผูกขาดอยู่
นี่สงสัยไม่ได้อ่านข่าวที่คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ลงมติว่า
การที่ซีพีซื้อกิจการโลตัสไม่ใช่การผูกขาด สินะ
เห็นที อ.อานนท์ คงต้องกลับไปทำการบ้านใหม่แล้วละ
7. อ.อานนท์อ้างว่า ร.10 พระราชทานที่ดินมากมาย มูลค่ามหาศาล ให้หน่วยงานต่างๆ
แต่ถ้าไปดูข่าวเรื่องการพระราชทานที่ดิน
เราจะได้ยินคำว่า "โฉนดที่ดินในพระปรมาภิไธย" ทุกครั้ง
คำนี้หมายความว่าอะไรไม่ปรากฏชัด
แต่เป็นไปได้หรือไม่ว่า มันจะหมายถึง โฉนดที่ดินที่มีพระนาม ร.10 เป็นเจ้าของ
โดยที่การมอบโฉนดให้หน่วยงานต่างๆ ในข่าวนั้น
เป็นเพราะหลังจาก ร.10 รวมเอาทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาเป็นของตนแล้ว
ก็ต้องมีการเปลี่ยนชื่อเจ้าของในโฉนดที่ดินทั้งหมด
จึงทำให้ต้องเรียกหน่วยงานต่างๆ มารับโฉนดใบใหม่
เพื่อนำไปแทนโฉนดใบเก่าที่มีชื่อเจ้าของเดิม (สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์) ซึ่งใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
โดยที่เจ้าของที่ดินยังคงเป็น ร.10
เป็นไปได้หรือไม่ ?
8. อ.อานนท์ใช้ทักษะการดริฟท์
ไม่ยอมตอบคำถามของจอมขวัญที่ถามว่า
การที่ชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ อย่าง SCB SCG เป็นชื่อกษัตริย์
จะทำให้กษัตริย์เสี่ยงที่จะต้องรับผิดชอบเรื่องบางเรื่อง ในฐานะผู้ถือหุ้นหรือเปล่า
อ.อานนท์ไม่ตอบ
แต่กลับลากเอาผู้ดูแลสำนักงานทรัพย์สินมาให้รับผิดชอบแทน
9. อ.อานนท์อ้างว่า ร.10 ถือหุ้น SCG เพราะรอมอบให้โรงเรียนวชิราวุธ ตามพินัยกรรม ร.6
แต่ความเป็นจริงคือ
เมื่อตอนที่ ร.6 ก่อตั้งโรงเรียนวชิราวุธนั้น
มีดำริว่า โรงเรียนควรมีกองทุนเป็นของตัวเอง เพื่อเลี้ยงดูโรงเรียน
จึงได้พระราชทานที่ดินแถวราชดำริ และหุ้นของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ซึ่งตั้งในสมัย ร.6
ให้กับโรงเรียนวชิราวุธ โดยที่มี พระคลังข้างที่ เป็นผู้บริหารและดูแลผลประโยชน์
จะเห็นว่า หุ้น SCG เป็นของวชิราวุธมาตั้งแต่ตอนที่ ร.6 มีชีวิตอยู่
ดังนั้น การใช้คำว่าพินัยกรรม จึงไม่ตรงกับความเป็นจริง
ที่สำคัญคือ หุ้น SCG ควรอยู่กับพระคลังข้างที่มาตลอด ตามพระราชประสงค์ของ ร.6
ไม่ควรถูกเปลี่ยนมือใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ปัจจุบัน หุ้น SCG มี ร.10 เป็นเจ้าของ
10. อ.อานนท์บอกว่า ข้าราชการในส่วนพระองค์มีประมาณ 14,000 คน ใช้งบประมาณ 9 พันล้านบาทต่อปี
ซึ่งไม่เยอะเท่าไหร่
แต่ความจริงคือ เยอะ !
เพราะถ้าเทียบกับกระทรวงต่างๆ ที่ได้งบประมาณปี 2564
จะพบว่า มีถึง 6 กระทรวงที่ได้งบประมาณน้อยกว่างบสถาบันดังกล่าว
อันประกอบด้วย
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม งบ 4,800 ล้านบาท
กระทรวงวัฒนธรรม งบ 4,500 ล้านบาท
กระทรวงพาณิชย์ งบ 3,700 ล้านบาท
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา งบ 3,600 ล้านบาท
กระทรวงอุตสาหกรรม งบ 2,200 ล้านบาท
กระทรวงพลังงาน 1,400 ล้านบาท
จากทั้งหมด 20 กระทรวง
นี่คือการเปรียบเทียบระหว่างงบของกระทรวงที่ดูแลคนทั้งประเทศในเรื่องต่างๆ
กับงบที่ใช้ดูแลคน 1 ครอบครัว
(ref : https://www.efinancethai.com/LastestNe…/LatestNewsMain.aspx… )
หรือลองเปรียบเทียบกับราชวงศ์ต่างประเทศดู
งบสถาบันของไทย 9 พันล้านบาท เท่ากับ 300 ล้านดอลลาร์
ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในยุโรป มีงบสถาบัน ดังนี้
อังกฤษ - 107 ล้านดอลลาร์
โมนาโค - 54 ล้านดอลลาร์
เนเธอร์แลนด์ - 49 ล้านดอลลาร์
นอร์เวย์ - 49 ล้านดอลลาร์
เบลเยี่ยม - 15 ล้านดอลลาร์
เดนมาร์ค - 12 ล้านดอลลาร์
ลักเซมเบิร์ก - 12 ล้านดอลลาร์
สเปน - 9 ล้านดอลลาร์
สวีเดน - 8 ล้านดอลลาร์
ลิกเกนสไตน์ - ไม่มีให้เลย
(ref : https://edition.cnn.com/…/european-royal-familie…/index.html )
ดังนั้นที่ อ.อานนท์บอกว่า งบสถาบันน้อยนั้น
จริงๆ มันไม่น้อยเลย !
ดูคลิปรายการถามตรงๆ กับจอมขวัญ ได้ที่นี่
ข้อสงสัยสามข้อจากการฟังอ.อานนท์พูดใน #ถามตรงๆกับจอมขวัญ เมื่อวาน
1. ในรายการ อ.อานนท์พูดด้วยความมั่นใจว่าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์มีการทำรายงานประจำปี มีผู้ตรวจสอบบัญชี และทำรายงานประจำปี ซึ่งสามารถเข้าไปดาวน์โหลดดูได้ แต่พอคนเข้าไปดาวน์โหลดดูกลับพบแต่ความว่างเปล่า
อ.พวงทองจากคณะรัฐศาสตร์มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การตรวจสอบรายรับรายจ่ายของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่เคยเกิดขึ้นจริง แม้แต่เวลาสื่อต่างชาติประเมินความร่ำรวยของพระมหากษัตริย์ไทย ก็ใช้วิธีประเมินโดยอ้อมจากหุ้นในบริษัทต่าง ๆ บวกกับราคาประเมินอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ แต่ยังไม่เคยมีสื่อไหนหารายงานรายรับรายจ่ายของ สนง.ทรัพย์สินฯ อย่างเป็นทางการมาเปิดเผยได้เลยซักครั้งเดียว (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3775797299137668&id=100001223054048)
2. อ.อานนท์บอกว่าในหลวงรัชกาลที่ 10 เปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นชื่อในพระนามของพระองค์เองก็เพื่อทรงต้องการเสียภาษีช่วยประเทศชาติ ไม่ทราบว่าอ.อานนท์อ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่ไหน พยายามเช็คดูพระราชดำรัสในที่ต่างๆก็ไม่เห็นมีที่กล่าวถึงเรื่องนี้
3. สุดท้าย อ.อานนท์บอกว่าที่ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงต้องการถือหุ้นของธนาคารไทยพาณิชย์ในพระนามของพระองค์เองก็เพราะมีพระประสงค์จะเก็บไว้มอบให้กองทุนรร.วชิราวุธตามพินัยกรรมของในหลวงรัชกาลที่ 6 อันนี้ยิ่งงงใหญ่ว่าไปเอาข้อมูลมาจากไหน การกล่าวอ้างพระประสงค์แบบลอยๆโดยไม่มี reference อย่างนี้ถือเป็นล่วงละเมิดพระเกียรติและพระประสงค์ของพระองค์หรือไม่
การใช้ชีวิตอยู่ในวงการวิชาการมานานทำให้ได้เรียนรู้ว่า การพูดจาให้ดูน่าเชื่อถือไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมไปกับการพูดความจริงเสมอไป